ทำไมต้องทำ CT Scan
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำ CT Scan ในกรณีดังต่อไปนี้
ตรวจวินิจฉัยอาการป่วย เช่น ตรวจหาอาการบาดเจ็บเสียหายของอวัยวะภายใน ภาวะเลือดออกของอวัยวะภายใน การไหลเวียนของเลือด การเกิดลิ่มเลือด รอยแตกร้าวของกระดูก ภาวะสมองขาดเลือด เนื้องอก และเนื้อร้าย ติดตามการรักษาอาการป่วย ทั้งในระหว่างการรักษาและหลังการรักษา เช่น ตรวจดูขนาดของก้อนเนื้องอก ตรวจผลหลังการรักษามะเร็ง ตรวจเป็นแนวทางประกอบการรักษา เช่น ตรวจหาขนาดและรูปร่างของก้อนเนื้อก่อนทำรังสีบำบัด ใช้ CT Scan เพื่อฉายภาพในขณะที่แพทย์ใช้เข็มเจาะถ่ายของเหลวในฝีออก หรือใช้เข็มนำตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ
ข้อจำกัดในการทำ CT Scan
กรณีผู้ป่วยตั้งครรภ์ หากไม่ใช่ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน แพทย์จะให้ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัย เพื่อเลี่ยงไม่ให้รังสีเอกซเรย์ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
เด็ก ในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ผู้ปกครองควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ถึงการเตรียมตัวก่อนให้เด็กเข้าเครื่อง CT Scan หากเด็กยังเล็กมาก หรือรู้สึกตื่นกลัวมาก แพทย์จะให้ยาระงับประสาทเพื่อบรรเทาอาการก่อนทำ CT Scan สแกนเมื่อจำเป็น ผู้ป่วยควรทำ CT Scan เมื่อมีเหตุจำเป็นอันสมควรเมื่อผู้ป่วยมีอาการป่วยที่ปรากฏเท่านั้น โดยจะไม่ใช้ CT Scan เพื่อการคัดกรองเบื้องต้น เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีเอกซเรย์ และเพิ่มความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น
ขั้นตอนในการทำ CT Scan
การเตรียมตัว
ผู้ป่วยควรซักถามถึงข้อสงสัยที่มี อย่างสาเหตุ ความจำเป็น ความเสี่ยง และประโยชน์ที่ได้จากการตรวจด้วย CT Scan โดยก่อนทำ CT Scan ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ที่ไม่มีส่วนประกอบของโลหะ เช่น ซิป เข็มขัด ถอดแว่นตา ฟันปลอม และไม่สวมใส่เครื่องประดับใด ๆ ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจต้องเปลี่ยนใส่ชุดที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ เพื่อให้สะดวกต่อการฉายรังสีและการสร้างภาพ
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเอกซเรย์ช่องท้อง แพทย์อาจแนะนำให้งดอาหารเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนทำ CT Scan เพื่อไม่ให้รบกวนผลการตรวจ และได้ภาพฉายที่ชัดเจน หรือแพทย์อาจให้รับประทานยาระบายก่อนการทำ CT Scan นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ การแพ้ยา ปัญหา และภาวะทางสุขภาพอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น
– กำลังตั้งครรภ์ หรือคาดว่าอาจตั้งครรภ์อยู่
– เป็นหอบหืด
– เป็นโรคเบาหวาน และกำลังใช้ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ซึ่งอาจต้องปรับเปลี่ยนการใช้ยา 1 วัน ก่อนทำ CT Scan
– มีปัญหาเกี่ยวกับไต
– ป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีภาวะหัวใจล้มเหลว
– เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิล มัยอีโลมา (Multiple Myeloma)
– มีความวิตกกังวลเป็นอย่างมากก่อนทำ CT Scan
– เคยสวนแป้งแบเรียม (Barium Enema) เข้าทางทวารหนักแล้วทำการเอกซเรย์มาก่อนหน้าไม่เกิน 4 วัน เนื่องจากแบเรียมจะปรากฏบนฟิล์มเอกซเรย์ ทำให้เห็นภาพฉายได้ไม่ชัดเจน
– เคยมีประวัติการแพ้สารทึบรังสีที่ใช้ในการทำ CT Scan
ก่อนทำ CT Scan
ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจให้สารทึบรังสี (Contrast Material) เข้าไปในร่างกายเพื่อช่วยให้การฉายภาพในบริเวณต่าง ๆ ที่ต้องการตรวจเห็นได้ชัดเจนขึ้น โดยอาจใช้วิธีให้ผู้ป่วยดื่มสารทึบรังสีเข้าไป ฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่เส้นเลือด หรือสอดสารทึบรังสีเข้าสู่ลำไส้ผ่านทางทวารหนัก
หากผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก แพทย์อาจให้ยาระงับประสาทเพื่อคลายความกังวลก่อนการเอกซเรย์ โดยผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาดังกล่าวนี้ ต้องเตรียมการให้ญาติหรือบุคคลใกล้ชิดมารับกลับหลังจากเสร็จ เนื่องจากฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถขับขี่ยานพาหนะได้ตามปกติ
การทำ CT Scan
เมื่อเริ่มทำ CT Scan ผู้ป่วยต้องนอนราบลงบนเตียงของเครื่องสแกน เตียงจะถูกเคลื่อนเข้าไปภายในเครื่อง ให้บริเวณที่ต้องการจะสแกนอยู่ตรงกับวงแหวนสแกน และเครื่องจะเริ่มทำการสแกนด้วยการหมุนเพื่อฉายรังสีเอกซเรย์ไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วย โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะฉายภาพที่ได้ออกมาเรื่อย ๆ ผู้ป่วยควรผ่อนคลายความกังวล นอนราบนิ่ง ๆ และหายใจตามปกติ ในบางกรณีผู้ป่วยอาจต้องหายใจเข้า หายใจออก หรือกลั้นหายใจตามคำสั่งของนักเทคนิค เพื่อให้ภาพถ่ายรังสีออกมาชัดเจน โดยในระหว่างที่อยู่ในเครื่อง CT Scan ผู้ป่วยสามารถสื่อสารกับแพทย์และนักเทคนิคที่ดูแลการสแกนได้ผ่านอินเตอร์คอม (Intercom: เครื่องสื่อสารด้วยเสียง) และการสแกนจะสิ้นสุดลงภายในเวลาประมาณ 10-20 นาที
ผลการตรวจ CT Scan
หลังทำ CT Scan เสร็จ เครื่องคอมพิวเตอร์จะประมวลภาพออกมา รังสีแพทย์จะอ่านผลที่ได้และรายงานต่อแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งแพทย์จะสรุปผลการตรวจและพูดคุยกับผู้ป่วยต่อไป ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการทราบผล
ตัวอย่างผลการตรวจด้วยวิธี CT Scan
ตรวจไม่พบผลผิดปกติ
– อวัยวะต่าง ๆ และเส้นเลือดมีรูปร่าง ขนาดปกติ และอยู่ในตำแหน่งปกติ
– เส้นเลือดไม่อุดตันหรือถูกปิดกั้น
– ไม่พบวัตถุหรือสิ่งแปลกปลอม
– ไม่พบเนื้อเยื่อที่มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ
– ไม่พบการอักเสบหรือการติดเชื้อ
– ไม่มีเลือดออกหรือไม่มีของเหลวตกค้างสะสมภายในอวัยวะ
ตรวจพบผลผิดปกติ
– อวัยวะมีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไป
– อวัยวะเสียหายหรือติดเชื้อ
– มีถุงน้ำหรือฝีอยู่ภายในอวัยวะ
– มีวัตถุหรือสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในอวัยวะ
– มีนิ่วในไตหรือในถุงน้ำดี
– หลอดเลือดแดงโป่งพอง
– เส้นเลือดอุดตัน
– มีลิ่มเลือดอุดตันในปอด
– ลำไส้เล็กและท่อน้ำดีอุดตัน
– ต่อมน้ำเหลืองขยายใหญ่ขึ้น
– ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
– มีรอยแตกหักของกระดูก
– มีเนื้องอกหรือเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ปอด กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ รังไข่ เป็นต้น
การดูแลตนเองหลังทำ CT Scan
หลังทำ CT Scan ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือขับรถได้ตามปกติ แล้วมาตามนัดหมายเพื่อฟังผลจากแพทย์ ยกเว้นผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาระงับประสาทเพื่อคลายความกังวลก่อนเข้าเครื่องสแกน ซึ่งจะทำให้รู้สึกมึนงงหรือง่วงซึมได้ ควรให้ญาติมารับกลับ ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเองเพราะอาจเกิดอันตรายได้
ส่วนผู้ป่วยที่ต้องใช้สารทึบแสงช่วยให้การฉายภาพเอกซเรย์ชัดเจนขึ้น หลังทำ CT Scan แพทย์อาจให้อยู่รอดูอาการที่โรงพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้จากการใช้สารทึบรังสีหรือไม่ โดยผู้ป่วยควรดื่มน้ำในปริมาณมาก เพื่อช่วยให้ไตขับสารทึบรังสีออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ หากผู้ป่วยมีข้อสงสัยประการใด ควรรีบถามและปรึกษาแพทย์ให้ทราบอย่างแน่ชัด และหากพบอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- มีผดผื่นคันหรือบวม
- หน้าบวม ปากบวม
- คลื่นไส้ อาเจียน
- วิงเวียนศีรษะ หรือเป็นลม
- มีการปัสสาวะลดลงอย่างกะทันหัน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ หายใจลำบาก
- ข้อดีของการทำ CT Scan
สามารถสแกนตรวจอวัยวะในร่างกายส่วนใหญ่ได้โดยไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดในขณะตรวจสแกน ภาพที่ได้มีรายละเอียดสูงกว่าการทำอัลตราซาวนด์ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น สามารถสแกนได้รวดเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการสแกนแบบ MRI
ข้อเสียของการทำ CT Scan
อาจมีวัตถุแปลกปลอมที่รบกวนการแปลผลเอกซเรย์ เช่น เครื่องประดับต่าง ๆ ในขณะสแกน ต้องมีการกลั้นหายใจ ซึ่งผู้ป่วยบางรายไม่สามารถปฏิบัติได้ ในการสแกนสมองด้วย CT Scan อาจถูกกระดูกส่วนกะโหลกศีรษะบัง ทำให้แปลผลคลาดเคลื่อนได้ ในตำแหน่งอื่น ๆ ที่มีกระดูกอยู่จำนวนมาก เช่น บริเวณกระดูกสันหลัง อาจเกิดการบดบังอวัยวะส่วนที่ต้องการตรวจวินิจฉัย จึงทำให้ภาพที่ได้จาก CT Scan มีโอกาสแปลผลคาดเคลื่อนได้ CT Scan ใช้รังสีปริมาณมาก อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีมากเกินไป
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการทำ CT Scan
การได้รับรังสีเข้าสู่ร่างกายอาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีมากเกินไป แต่ยังไม่พบว่าการทำ CT Scan จะส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายในระยะยาวได้ และด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน โอกาสที่ผู้ป่วยจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งจากรังสีใน CT Scan น้อยมาก อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในผู้ป่วยที่ทำ CT Scan จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อผู้ป่วยเป็นเด็ก หรือเด็กโต และผู้ที่เข้ารับการตรวจด้วยการฉายรังสีเป็นประจำ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารทึบรังสีมีโอกาสที่ผู้ป่วยที่ต้องใช้สารทึบรังสีจะมีอาการแพ้หลังจากได้รับสารเข้าสู่ร่างกาย เช่น มีผดผื่นคัน หายใจติดขัด ปวดท้อง ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ เป็นต้น เสี่ยงเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ รังสีจากการสแกนอาจกระทบต่อทารกในครรภ์และทำให้เกิดความผิดปกติซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กที่จะเกิดมา หากผู้ป่วยตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัยแทน